ขอออกตัวก่อนว่า
ไม่ได้เข้าข้างธนาคารหรือสถาบันการเงิน
ในส่วนลึกแล้วก็ยังอยากให้เขาลดดอกเบี้ยลงในกรณีที่เราจ่ายตรงเวลา ไม่เคยเบี้ยว
(แบบเดียวกับประกันรถยนต์ที่เขาลดเบี้ยประกันในปีต่อไปถ้าไม่เคยมีประวัติเคลม)
แต่ที่เขียนบทความนี้ก็แค่อยากให้เห็นว่า กลไกทางการตลาดทำให้คนมีรายได้น้อยต้องตกเป็นเบี้ยล่างโดยปริยาย
และถูกต้องตามกฎหมายอย่างไร
การคำนวณดอกเบี้ยของสินเชื่อแต่ละแบบ
มาลองดูตารางอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อแต่ละแบบ
กลุ่มสินเชื่อ
|
คุณสมบัติ
|
อัตราดอกเบี้ย
|
สินเชื่อส่วนบุคคล / บัตรเงินผ่อน
|
เงินเดือนตั้งแต่ 8,000 – 10,000
บาทขึ้นไป
|
28%
|
บัตรเครดิต
|
เงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป
|
20%
|
ผ่อนบ้าน / ที่อยู่อาศัย
|
มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
|
7 - 8%
|
รถมือสอง
|
มีรถมือสองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ถ้าจำนวนงวดผ่อนชำระมากขึ้น
จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น)
|
3 - 9%
|
รถป้ายแดง
|
มีรถใหม่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ถ้าจำนวนงวดผ่อนชำระมากขึ้น
จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น)
|
1 - 2%
|
อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มตามความเสี่ยงของคนปล่อยกู้
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยจะอิงกับความเสี่ยงที่หนี้จะสูญ ทั้งนี้
ยิ่งมีความเสี่ยงสูงก็จะมีอัตราดอกเบี้ยสูง ดังนี้
สินเชื่อส่วนบุคคล / บัตรเงินผ่อน จะเห็นว่าดอกเบี้ยโหดสุด ทั้งนี้ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นหนี้สูญนั่นเอง เพราะกำหนดคุณสมบัติด้านรายได้ของคนกู้ที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้น จะมีกลุ่มลูกค้าบางส่วนในกลุ่มนี้ มีกำลังชำระหนี้ต่ำลงเช่นกัน และยิ่งกู้มามากเกินไป ก็อาจจะไม่มีกำลังจ่ายคืนคนให้กู้เลย ดังนั้น สถาบันการเงินจึงเก็บดอกเบี้ยสูงเพื่อมาชดเชยความเสี่ยงที่สูงนั่นเอง (เอาดอกเบี้ยจากคนดีและมีกำลังจ่ายมาชดเชยคนที่ไม่มีปัญญาจ่าย)
บัตรเครดิต ดอกเบี้ยจะรองลงมาจากสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็เป็นไปในหลักแบบเดียวกันกับสินเชื่อส่วนบุคคล แต่คนกลุ่มนี้รายได้สูงขึ้น มีกำลังชำระหนี้สูงมากขึ้นตามรายได้ จึงมีความเสี่ยงที่จะมีหนี้สูญลดลง
ดอกเบี้ยที่จะไปชดเชยกับหนี้สูญก็น้อยลงตามมา
แต่ก็ยังสูงอยู่ดีเมื่อเทียบกับสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์คำประกัน
สินเชื่อผ่อนที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยต่ำกว่าจากสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างเห็นได้ชัด
เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และแม้ผู้กู้ไม่สามารถชำระคืน
สถาบันการเงินก็ยังมีสิทธ์เอาทรัพย์สินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันไปขายทอดตลาดได้
แต่ระยะเวลาการผ่อนโดยทั่วไปจะนานถึง 20 – 30 ปี จึงอาจจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยส่วนตัวของผู้กู้ เช่น การตกงาน
การเสียชีวิต ประสบอุบัติเหตุถึงขั้นประกอบอาชีพไม่ได้
หรืออัตรการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ดี เป็นต้น
สินเชื่อผ่อนรถยนต์ ดอกเบี้ยต่ำกว่าจากสินเชื่ออื่น ๆ รถยนต์เป็นหลักทรัพย์ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์
และโดยทั่วไปจะมีมูลค่าราคาจะลดลงเมื่อเวลาผ่าน แต่ซื้อง่ายขายคล่องกว่าอสังหหาริมทรัพย์
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจึงต่ำสุด แม้ว่าสถาบันการเงินมีสิทธ์เอาทรัพย์สินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันไปขายทอดตลาดได้หากคนกู้ไม่ชำระหนี้
แต่ยิ่งกำหนดระยะเวลาการผ่อนชำระที่นานขึ้น รถก็จะเก่าลงมากเช่นกัน ทำให้จะยิ่งมีอัตราดอกเบี้ยการกู้ที่สูงขึ้น
(พูดง่าย ๆ คือ เมื่อมูลค่าหลักทรัพย์น้อยลง เมื่อระยะการผ่อนนานขึ้น สถาบันการเงินจะยิ่งคิดอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อชดเชยความเสี่ยง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น