Sponsor Link

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความสำคัญของเครดิต (ไม่ใช่แค่เครดิตบูโร)

แนวคิดเรื่องการให้ความสำคัญเรื่องเครดิตไม่ใช่เพิ่งมีตอนตั้งหน่วยงานเครดิตบูโร แต่มันมีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว (ตั้งแต่ก่อนยุคข้อมูลข่าวสารที่สามารถแชร์ข้ามโลกกันได้ไม่มีวินาทีเสียอีก) ในประวัติศาสตร์ชาวยิวบันทึกไว้ว่า กษัตริย์ซาโลมอน ซึ่งถือได้ว่ามีสติปัญญามากที่สุดและมั่งคั่งที่สุดก็ยังให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ไว้สูงกว่าเงินทองเสียอีก โดยมีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล (เล่มสุภาษิต บทที่ 22 ข้อที่ 1) ว่า “ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่งมากมาย และซึ่งเป็นที่โปรดปราน ก็ดีกว่ามีเงินหรือทอง” สังคมไทยก็ให้ความสำคัญตั้งแต่อดีตเช่นกัน ดังสุภาษิตไทยก็ยังกล่าวว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” 

ดังนั้น ในยุคปัจจุบันที่การสื่อสารข้อมูลเร็วเท่าแสงแล้ว หากใครคิดจะชักดาบใคร โดยเฉพาะสถาบันการเงินด้วยแล้ว ควรคิดให้หนักครับ หรือหากรู้ตัวว่าเราไม่มีวินัยทางการเงิน เราก็ ไม่ควรใช้บริการบัตรเครดิตเลยครับ

มาดูเข้าเรื่องเครดิตที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ กันดีกว่า ขอสรุปให้อ่านกันสัก 4 ประเด็นครับ

ความจำเป็นของการมีเครดิตยุคปัจจุบัน
·         ในยุคที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเก็บเงินจำนวนมากให้พอสำหรับซื้อสิ่งที่จำเป็นและมีราคาสูงจะใช้เวลานาน เช่น การซื้อรถ การซื้อบ้าน เพราะยิ่งนานวัน ราคามันก็พุ่งสูงขึ้นเร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเสียอีก ดังนั้น การซื้อแบบผ่อนหรือการกู้สินเชื่อมันเป็นทางเลือกที่มักใช้ แน่นอนว่ามันก็ต้องตรวจสอบเครดิตคนกู้กันก่อน
·         การมีเครดิตดี ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นหนี้หรือชีวิตติดลบเสมอไป และไม่ได้แปลว่าเราชำระหนี้ทุกงวดตรงเวลาแล้วจะแปลว่าจะมีเครดิตดีเสมอไป มันก็ต้องมีความสมดุลย์และมีองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย
·         การมีเครดิตไม่เพียงเกี่ยวข้องกับเรื่องการใช้บริการสินเชื่อหรือเงินกู้เท่านั้น อนาคตเราจะเห็นมันเกี่ยวข้องกับเราทุกเรื่องครับ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ในปัจจุบัน การทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจจะมีเบี้ยประกันลดลงสำหรับผู้ขับขี่อายุมากขึ้น หรือมีส่วนลดเบี้ยประกันหากไม่มีประวัติการชนหรือการเคลม เป็นต้น

ข้อดีของการมีบัตรเครดิตยุคปัจจุบัน
ความสะดวกโดยทั่วไปที่มีกันมานานคือ การไม่ต้องพกพาเงินสดเป็นจำนวนมาก มีโปรโมชั่นต่าง ๆ ตามการแข่งขันในตลาด ในยุคปัจจุบันจะพบว่ามันเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกสำหรับการซื้อขายแบบไร้พรมแดน เช่น

·         การซื้อสินค้าหรือบริการแบบข้ามประเทศ บัตรเครดิตให้ความสะดวกมาก ลองคิดดูว่า ถ้าจะจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมต่างประเทศผ่านเว็บไซต์ ถ้ามีบัตรเครดิตแล้วใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ถ้าต้องใช้วิธีโอนเงินมันจะยุ่งยากแค่ไหน ใช้เวลาแค่ไหน ยิ่งยากกว่านั้นคือ เมื่อโอนเงินแล้วแต่ห้องในโรงแรมที่กำลังจองถูกคนอื่นแย่งตัดหน้าไปแล้ว
·         ในยุคที่อีคอมเมิร์ชในประเทศรุ่งเรืองแล้ว มีบริการรับชำระค่าสินค้า บริการ รวมถึงบริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ ทางเว็บไซต์ที่ให้ความสะดวกมาก ไม่ต้องเดินทาง การใช้บัตรเครดิตดูเหมือนจะสะดวกที่สุด
·         ถ้าเราเปิดร้านขายของออนไลน์ ปัจจุบันใช้วิธีการโอนเงินและเช็คยอดเงินโอนผ่าน internet banking ได้ แต่เราต้องตรวจเช็คเอง แต่ถ้าเรามีบริการชำระผ่านบัตรเครดิตแล้ว เมื่อลูกค้ายืนยันการซื้อมันจะหมายถึงมีเงินเข้ากระเป๋าเราแน่ ๆ ทำให้รายการขายจะถูกสร้างได้เองอัตโนมัติซึ่งประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

สาเหตุที่เครดิตถูกปฏิเสธ
เครดิตถูกปฏิเสธในที่นี้ไม่ใช้เครดิตเสีย แต่หมายถึง “เครดิตไม่ดีพอ” มีสาเหตุหลายประการ เช่น
·         ชำระด้วยเงินสดตลอด ไม่เคยใช้บริการด้านเครดิตมาก่อนเลย (บัตรเงินผ่อน บัตรเครดิต หรืออะไรก็ตามที่เป็นสินเชื่อ)
·         เคยมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี แต่หากประวัติมีอายุนานเกินกว่าที่เขาจะเก็บไว้ ก็อาจจะไม่มีความหมายอะไร
·         เคยมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี แต่ถ้าเป็นประวัติร่วม  (เช่น กู้ร่วม บัตรเครดิตแบบบัตรเสริม) จะถูกให้ความสำคัญลดลง
·         ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาของรายได้ที่ชัดเจนได้ แม้เราเป็นพนักงานบริษัท มีรายได้ประจำ แต่บัตรเครดิตบางค่ายอาจจะพิจารณาลักษณะธุรกิจที่เราทำงานอยู่ สถาบันการเงินบางเจ้าดูแม้กระทั่งทุนจดทะเบียนบริษัทที่เราทำงาน
·         สถานภาพการสมรส สถาบันการเงินอาจจะมองว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรสามารถถูกนับเป็นรายได้ประเมินวงเงินได้ (ค่าใช้จ่ายมันวิ่งผ่านบัตรได้) แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยเสริมอื่น เช่น อยู่ในเมืองหลวงอาจจะถือว่าเครดิตดีกว่าอยู่ในต่างที่จังหวัด
·         ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเรื่องหนี้เสีย เช่น อายุ การศึกษา ความสม่ำเสมอของรายได้

สาเหตุการมีเครดิตไม่ดี
·         มีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี ธนาคารส่วนใหญ่เก็บประวัติการชำระไว้ประมาณ 10 ปี (ซึ่งต่างจากเครดิตบูโรที่เก็บไว้เพียง 3 ปี)
·         มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี แต่มีการชำระสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ดังตัวอย่างในรูปข้างล่าง
·         ใช้บัญชีบัตรเครดิตมากเกินไป (มีบัตรเครดิตหลายใบ)
·         มีบริการเงินกู้มูลค่าสูงและระยะยาว เช่น ซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน
·         ความบกพร่องของสถาบันการเงินในการส่งประวัติการชำระหนี้

ตัวอย่างหนังสือปฏิเสธสินเชื่อเพราะรายจ่ายมากเกินไปแม้ไม่มีประวัติชำระล่าช้าก็ตาม


ความสำคัญของการรักษาเครดิตมันมีมานานแล้ว เพราะในชีวิตจริงมันไม่ใช่แค่เครดิตบูโรเท่านั้น ที่จริงมันเกี่ยวกับทุกเรื่องของชีวิตหรืออนาคตเราทีเดียว ถ้าเราเคยได้ยินถึงข่าวเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศสารขัณฑ์คนหนึ่งถูกดิสเครดิตเรื่องไม่เคยเข้ารับการเกณฑ์ทหารจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง เราจะยิ่งรู้ซึ้งว่ามันมีความสำคัญแค่ไหน ก็ขอฝากไว้พิจารณาครับ

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เครดิตบูโร พระเอกหรือผู้ร้าย

จากบทความเรื่อง ทำไมสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน มีการกล่าวถึงเครดิตบูโรไว้เล็กน้อย ดูแล้วเหมือนว่าเป็นตออันหนึ่งที่ทำให้หลายคนสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน น้อยคนจะเข้าใจภาพรวมของมันจริง ๆ คำว่าเครดิตบูโรที่เราได้ยินนั้นมันคืออะไร

ที่มาที่ไป
เครดิตบูโร มาจากคำว่า National Credit Bureau Co., Ltd. หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด จัดตั้งโดยกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่จัดเก็บ “ข้อมูลการชำระหนี้สินในระบบ” วัตถุประสงค์การเก็บคือ เป็นฐานข้อมูลให้สถาบันการเงินใช้วิเคราะห์ในการปล่อยกู้ จะได้รู้ว่าควรปล่อยกู้หรือไม่ ปล่อยเท่าไหร่ (เท่านั้นแหละ) ที่มาของหน่วยงานนี้คือ ก่อนที่จะมีหน่วยงานนี้ โดยเฉพาะก่อนวิกฤติเศรษกิจปี 2540 นั้น การปล่อยกู้มีโอกาสเป็นหนี้เสียมาก เช่น ธนาคารไม่สามารถล่วงรู้เลยว่า บางคนผ่อนรถผ่อนบ้านพร้อมกันโดยรายได้ไม่พอหรือไม่ บางคนทำหนี้เสีย (ชักดาบ) กับสถาบันการเงินอื่นมาแล้วหรือไม่

ข้อควรทราบที่สำคัญ

ใครส่งข้อมูลให้เครดิตบูโรบ้าง
สมาชิกของเครดิตบูโร หลัก ๆ คือ สถาบันการเงินที่ให้บริการสินเชื่อครับ เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทไฟแนนซ์ต่างๆ เมื่อเรา (หรือนิติบุคคล หน่วยงานธุรกิจ) ไปใช้บริการสินเชื่อจากสมาชิกเหล่านี้แล้ว ข้อมูลการชำระหนี้ให้สถาบันการเงินแต่ละครั้ง (งวด) จะถูกส่งเข้าไปเก็บที่เครดิตบูโร

เครคิตเก็บข้อมูลแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่สถาบันทางการเงินอาจจะเก็บมากกว่า
ข้อมูลการชำระหนี้จะเก็บไว้ที่เครดิตบูโรแค่ 3 ปีเท่านั้น ถ้าข้อมูลรายการใดมีอายุเกิน 3 ปีจะถูกเคลียร์ทิ้ง  นั่นคือ แม้เราจะผ่อนบ้านแบบประวัติดีมาครบ 25 ปีแล้ว แต่ประวัติชำระที่อายุต่ำกว่า 24 ปี 9 เดือนมันจะไม่อยู่แล้ว หรือในมุมกลับ ใครที่เคยชักดาบ ชำระบัตรเครดิตช้ากว่ากำหนด หรือเคยเข้าสู่กระบวนกฎหมายเพราะทำหนี้เสีย (เรียกทั่ว ๆ ไปว่า NPL) ถ้าเรื่องมันจบเกิน 3 ปีแล้ว มันก็จะไม่อยู่เช่นกัน (เน้นว่าเรื่องจบนะครับ เช่น เจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เจรจาขอลดหนี้แล้วจ่ายครบ ถูกดำเนินคดีรับโทษแล้ว ไม่ใช่ค้าง ๆ คา ๆ) หรือพูดทั่ว ๆ ไปว่าไม่ติดบูโร

อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได้ห้ามเจ้าหนี้ว่าเก็บข้อมูลได้ไม่เกินกี่ปี ดังนั้น ถ้าเราเคยมีปัญหาหนี้เสียไว้กับธนาคารใด ธนาคารก็อาจจะเก็บข้อมูลไว้เป็น blacklist ของเขาเอง ถ้าเราไปข้อสินเชื่อหรือสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารนั้นซ้ำ เขาก็อาจจะปฎิเสธเสียแต่แรก แม้เราไม่ติดบูโรแล้วก็ตาม

ข้อมูลของเรา ใครก็ดูไม่ได้

ถ้าเราจะขอใช้บริการสินเชื่อทั้งหลาย (บัตรเครดิต กู้เงินซื้อบ้าน ผ่อนรถ) ผู้ให้กู้จะต้องให้เรากรอกเอกสารอนุญาตเปิดเผยข้อมูลเครดิตทุกครั้ง (ข้อมูลส่วนตัวเราเอง) และเราเองก็สามารถขอตรวจเครดิตบูโรของตนเองได้หลายช่องทาง ได้แก่ ศูนย์ตรวจของบริษัท ผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารที่ให้บริการ ผ่านตู้ ATM ผ่านระบบ i-mobilebanking และผ่านระบบ internetbanking เป็นต้น

มันมีทั้งดีและแย่ แล้วแต่โอกาส
โดยหลักแล้ว สถาบันการเงินใช้วิเคราะห์พฤติกรรมการเป็นหนี้ของเราครับ นั่นคือประกอบ พฤติกรรมการก่อหนี้และพฤติกรรมการชำระหนี้ ซึ่งสะท้อนความรับผิดชอบและวินัยทางการเงินของเราเอง ดังนั้น ถ้าเรามีวินัยทางการเงินดี (ตามเงื่อนไขของผู้ให้กู้) เราก็จะมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งผมได้แนะนำให้สร้างประวัติที่ดีในเครดิตบูโรด้วยการใช้บริการสินเชื่อผ่อนสินค้าที่เราต้องใช้อยู่แล้วในบทความเรื่องสมัครบัตรเครดิตอย่างไรให้ผ่าน 

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่เคยมีประวัติเสีย แต่ถ้าสถาบันการเงินประเมินว่า เรามีภาระหนี้เกินกว่าที่จะรับผิดชอบเพิ่มได้ เขาก็จะไม่อนุมัติสินเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น ตามภาพครับ




สิ่งที่มักเข้าใจผิด

เครดิตบูไรไม่ได้เอาไว้แสดงสถานะว่าใครเป็นเจ้าหนี้เหนือใคร ดังนั้น แม้เราจะกู้เงินจากสถาบันการเงินเพียง 10% ของมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือจะทำบัตรเครดิตแบบมีเงินฝากค้ำประกัน สถบันการเงินที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโรก็ยังต้องส่งประวัติการชำระหนี้ให้กับเครดิตบูโร ผมจึงเคยแนะนำว่า ถ้าเราไม่อยากมีประวัติเสียจากการกู้ยืมเงิน (ในขณะที่หลักทรัพย์ค้ำประกันของเรามีมูลค่าสูงกว่ามูลหนี้) ให้ใช้บริการโรงรับจำนำแทน

นอกจากนี้ การให้ความสำคัญของเครดิตที่ดี ไม่ได้แปลว่าจะพิจารณาเฉพาะเครดิตบูโรเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สถาบันการเงินใช้พิจารณาร่วมด้วย

กล่าวแบบสรุป

จากที่เขียนมาจะเห็นว่า เครดิตบูโรไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนดิด และยังช่วยยับยั้งหนี้เสียในภาพรวม อย่าลืมว่า ถ้าหากหนี้เสียเพิ่มสูงเท่าไหร่ โอกาสที่ทางการจะอนุมัติให้เก็บดอกเบี้ยที่แพงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวนั่นเอง