Sponsor Link

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เครดิตบูโร พระเอกหรือผู้ร้าย

จากบทความเรื่อง ทำไมสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน มีการกล่าวถึงเครดิตบูโรไว้เล็กน้อย ดูแล้วเหมือนว่าเป็นตออันหนึ่งที่ทำให้หลายคนสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน น้อยคนจะเข้าใจภาพรวมของมันจริง ๆ คำว่าเครดิตบูโรที่เราได้ยินนั้นมันคืออะไร

ที่มาที่ไป
เครดิตบูโร มาจากคำว่า National Credit Bureau Co., Ltd. หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด จัดตั้งโดยกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่จัดเก็บ “ข้อมูลการชำระหนี้สินในระบบ” วัตถุประสงค์การเก็บคือ เป็นฐานข้อมูลให้สถาบันการเงินใช้วิเคราะห์ในการปล่อยกู้ จะได้รู้ว่าควรปล่อยกู้หรือไม่ ปล่อยเท่าไหร่ (เท่านั้นแหละ) ที่มาของหน่วยงานนี้คือ ก่อนที่จะมีหน่วยงานนี้ โดยเฉพาะก่อนวิกฤติเศรษกิจปี 2540 นั้น การปล่อยกู้มีโอกาสเป็นหนี้เสียมาก เช่น ธนาคารไม่สามารถล่วงรู้เลยว่า บางคนผ่อนรถผ่อนบ้านพร้อมกันโดยรายได้ไม่พอหรือไม่ บางคนทำหนี้เสีย (ชักดาบ) กับสถาบันการเงินอื่นมาแล้วหรือไม่

ข้อควรทราบที่สำคัญ

ใครส่งข้อมูลให้เครดิตบูโรบ้าง
สมาชิกของเครดิตบูโร หลัก ๆ คือ สถาบันการเงินที่ให้บริการสินเชื่อครับ เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทไฟแนนซ์ต่างๆ เมื่อเรา (หรือนิติบุคคล หน่วยงานธุรกิจ) ไปใช้บริการสินเชื่อจากสมาชิกเหล่านี้แล้ว ข้อมูลการชำระหนี้ให้สถาบันการเงินแต่ละครั้ง (งวด) จะถูกส่งเข้าไปเก็บที่เครดิตบูโร

เครคิตเก็บข้อมูลแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่สถาบันทางการเงินอาจจะเก็บมากกว่า
ข้อมูลการชำระหนี้จะเก็บไว้ที่เครดิตบูโรแค่ 3 ปีเท่านั้น ถ้าข้อมูลรายการใดมีอายุเกิน 3 ปีจะถูกเคลียร์ทิ้ง  นั่นคือ แม้เราจะผ่อนบ้านแบบประวัติดีมาครบ 25 ปีแล้ว แต่ประวัติชำระที่อายุต่ำกว่า 24 ปี 9 เดือนมันจะไม่อยู่แล้ว หรือในมุมกลับ ใครที่เคยชักดาบ ชำระบัตรเครดิตช้ากว่ากำหนด หรือเคยเข้าสู่กระบวนกฎหมายเพราะทำหนี้เสีย (เรียกทั่ว ๆ ไปว่า NPL) ถ้าเรื่องมันจบเกิน 3 ปีแล้ว มันก็จะไม่อยู่เช่นกัน (เน้นว่าเรื่องจบนะครับ เช่น เจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เจรจาขอลดหนี้แล้วจ่ายครบ ถูกดำเนินคดีรับโทษแล้ว ไม่ใช่ค้าง ๆ คา ๆ) หรือพูดทั่ว ๆ ไปว่าไม่ติดบูโร

อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได้ห้ามเจ้าหนี้ว่าเก็บข้อมูลได้ไม่เกินกี่ปี ดังนั้น ถ้าเราเคยมีปัญหาหนี้เสียไว้กับธนาคารใด ธนาคารก็อาจจะเก็บข้อมูลไว้เป็น blacklist ของเขาเอง ถ้าเราไปข้อสินเชื่อหรือสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารนั้นซ้ำ เขาก็อาจจะปฎิเสธเสียแต่แรก แม้เราไม่ติดบูโรแล้วก็ตาม

ข้อมูลของเรา ใครก็ดูไม่ได้

ถ้าเราจะขอใช้บริการสินเชื่อทั้งหลาย (บัตรเครดิต กู้เงินซื้อบ้าน ผ่อนรถ) ผู้ให้กู้จะต้องให้เรากรอกเอกสารอนุญาตเปิดเผยข้อมูลเครดิตทุกครั้ง (ข้อมูลส่วนตัวเราเอง) และเราเองก็สามารถขอตรวจเครดิตบูโรของตนเองได้หลายช่องทาง ได้แก่ ศูนย์ตรวจของบริษัท ผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารที่ให้บริการ ผ่านตู้ ATM ผ่านระบบ i-mobilebanking และผ่านระบบ internetbanking เป็นต้น

มันมีทั้งดีและแย่ แล้วแต่โอกาส
โดยหลักแล้ว สถาบันการเงินใช้วิเคราะห์พฤติกรรมการเป็นหนี้ของเราครับ นั่นคือประกอบ พฤติกรรมการก่อหนี้และพฤติกรรมการชำระหนี้ ซึ่งสะท้อนความรับผิดชอบและวินัยทางการเงินของเราเอง ดังนั้น ถ้าเรามีวินัยทางการเงินดี (ตามเงื่อนไขของผู้ให้กู้) เราก็จะมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งผมได้แนะนำให้สร้างประวัติที่ดีในเครดิตบูโรด้วยการใช้บริการสินเชื่อผ่อนสินค้าที่เราต้องใช้อยู่แล้วในบทความเรื่องสมัครบัตรเครดิตอย่างไรให้ผ่าน 

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่เคยมีประวัติเสีย แต่ถ้าสถาบันการเงินประเมินว่า เรามีภาระหนี้เกินกว่าที่จะรับผิดชอบเพิ่มได้ เขาก็จะไม่อนุมัติสินเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น ตามภาพครับ




สิ่งที่มักเข้าใจผิด

เครดิตบูไรไม่ได้เอาไว้แสดงสถานะว่าใครเป็นเจ้าหนี้เหนือใคร ดังนั้น แม้เราจะกู้เงินจากสถาบันการเงินเพียง 10% ของมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือจะทำบัตรเครดิตแบบมีเงินฝากค้ำประกัน สถบันการเงินที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโรก็ยังต้องส่งประวัติการชำระหนี้ให้กับเครดิตบูโร ผมจึงเคยแนะนำว่า ถ้าเราไม่อยากมีประวัติเสียจากการกู้ยืมเงิน (ในขณะที่หลักทรัพย์ค้ำประกันของเรามีมูลค่าสูงกว่ามูลหนี้) ให้ใช้บริการโรงรับจำนำแทน

นอกจากนี้ การให้ความสำคัญของเครดิตที่ดี ไม่ได้แปลว่าจะพิจารณาเฉพาะเครดิตบูโรเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สถาบันการเงินใช้พิจารณาร่วมด้วย

กล่าวแบบสรุป

จากที่เขียนมาจะเห็นว่า เครดิตบูโรไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนดิด และยังช่วยยับยั้งหนี้เสียในภาพรวม อย่าลืมว่า ถ้าหากหนี้เสียเพิ่มสูงเท่าไหร่ โอกาสที่ทางการจะอนุมัติให้เก็บดอกเบี้ยที่แพงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น