ผมไปเจอหัวข้อนี้มาจาก
pantip
ก็เลยขอเอามาขยายผลแสดงความเห็นต่อในบล็อกนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะไปหักล้างความคิดใคร
เพียงแต่ส่วนตัวผมมีความคิดเห็นต่างจากความเห็นทั่วไป สำหรับผมเองคิดว่าสาเหตุที่เราเป็นหนี้กันมากมีดังนี้
1. ไม่รู้จักคิด
1.1 เงินไม่พอใช้เลยทำบัตรเครดิต/ บัตรกดเงินสด
สิ่งที่ผมมักได้ยินจากปากเพื่อนมนุษย์เงินเดือนด้วยกันก็คือ
อยากทำบัตรเครดิตเพราะเงินไม่ค่อยพอใช้ หรือไม่ก็วงเงินบัตรเครดิตเต็ม
เลยต้องสมัครบัตรเครดิตเพิ่ม
ผมไม่เข้าใจจริง
ๆ ว่าเขาเอาอะไรมาคิด ถ้าเงินไม่พอใช้ เราก็ต้องทำงานมากขึ้นหรือไม่ก็เปลี่ยนงานที่มีโอกาสได้ค่าตอบแทนมากขึ้น
การทำบัตรเครดิตมันไม่ได้ทำให้เรามีเงินในแต่ละเดือนมากขึ้นเลย
ตรงข้ามมันเป็นการสร้างภาระหนี้ให้ตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเขาทำงานค้าขาย
ต้องมีเงินต้นทุน สามารถเอาเงินที่กู้ไปค้าขายจนได้กำไร แล้วเอารายได้ที่เกิดก็มาใช้หนี้ในเวลาที่เจ้าหนี้กำหนดไว้
ก็ไปอย่าง
1.2 บ้าศักดิ์ศรีจอมปลอม
ที่ขอพูดคือ
การวัดคุณค่าหรือศักดิ์ศรีตัวเองด้วยบัตรเครดิตที่ถือ
พอสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่านก็ขาดความไม่มั่นใจในตัวเองว่าทำไมสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการอนุมัติบัตรเครดิตมันขึ้นกับแนวทางปฏิบัติของแต่ละธนาคารที่ต่างกันไป
แม้ท้ายสุดเราอาจจะพยายามหาวิธีสมัครบัตรเครดิตให้ผ่านได้
แต่ถ้ามีแล้วไม่รูด มันก็เหมือนถูกมองว่ามีบัตรเครดิตไว้เพื่อโชว์
มันก็อยากจะรูดโชว์อีก (ยอมอด ไม่ยอมอาย) มันก็ยิ่งเสียวินัยการเงินไปกันใหญ่
ท้ายสุดก็อาจจะต้องไปกู้เงินเพื่อปิดหนี้บัตร
1.3 วัตถุนิยมแบบขาดการประมาณตน
ผมไม่ได้ต่อต้านการซื้อรถซื้อบ้านหรืออะไรที่เป็นสิ่งจำเป็น
แต่หลายคนมักผ่อนแบบเกินตัว ร้ายไปกว่านั้นคือการผ่อนเพื่อการบริโภคเสียส่วนใหญ่
เช่น รถยนต์ (ที่ราคามันตกเร็วกว่าเงินที่ผ่อนไปเสียอีก)
ผมรู้จักคนหนึ่งที่พยายามกัดฟันผ่อนรถป้ายแดงเดือนละประมาณ 10,000 กว่า ๆ
แต่จอดไว้มากกว่าขับ ผมเคยแนะนำให้เขาขายเสีย เขากลับย้อนว่า
เข้าใจเขาหน่อยว่ามันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เขามีอยู่
ผมก็อุตส่าห์หวังดีอธิบายให้ฟังว่า มันไม่ใช่สมบัติแต่มันเป็นตัวสร้างหนี้
เพราะกว่าจะผ่อนหมด เขาต้องจ่ายเงินร่วม 600,000 และรถจะเก่าลงจนราคาจะเหลือไม่เกิน 300,000 ก็เท่ากับว่าเงินมันหายไป 300,000
แล้วจะซื้อมาจอดให้มันเสื่อมค่าเล่นทำไม แต่เขาไม่รับฟัง
ท้ายสุดก็หนี้สินล้นพ้นตัวต้องคอยหลบเจ้าหนี้ (ตอนนี้ไม่รู้หายตัวไปไหนแล้ว)
1.4 ยอมอยู่ในเกมการตลาดของสถาบันทางการเงิน
การจัดแคมเป็ญการค้าการขายทุกอย่างในโลกล้วนเป็นไปตามกลไกการตลาดทั้งสิ้น
แต่ปัญหามันอยู่ที่เรามักจะยอมติดกับดักหลุมพรางของผู้ให้บริการสินเชื่อ เรามักจะเห็นโฆษณาชวนให้เป็นหนี้เพื่อเห็นแก่ความกตัญญู
เป็นหนี้เพราะอยากมีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นหนี้เพราะกลัวครอบครัวมีปัญหา ดังนั้น
ถ้าเรากำลังอยู่ในภาวะแบบนั้นอยู่
เราก็จะมีข้ออ้างให้กับตนเองและอยากจะเป็นหนี้จนเนื้อเต้น
เราก็จะเดินเข้าไปในกับดักนั้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงมันมีวิธีการแก้ปัญหาอีกหลายทางที่เราสามารถคิดได้และทำได้ (แต่เราก็เลือกไม่ทำ)
2. นิสัยขาดวินัย จึงเกิดอาการการทำอะไรตามใจคือไทยแท้
นิสัยประจำชาติด้านลบที่เรายังแก้กันไม่ได้ นั่นคือ การทำอะไรตามใจคือไทยแท้ และที่มาของนิสัยนี้ก็คือ การขาดวินัย พวกฝรั่งที่จับจุดนี้ได้ก็มาเปิดบริษัทปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลดูดเงินเข้าประเทศตัวเอง
หลัง ๆ มา ธนาคารพานิชย์ต่าง ๆ ของไทยก็เอากับเขาบ้างเพื่อสร้างรายได้เข้าองค์กร
รากความหมายที่แท้จริงของการมีวินัย คือ การรู้จักควบคุมบังคับตนเองให้อยู่ในแนวทางที่ควร
หรือในแนวทางของการใช้เหตุผลที่ควรจะเป็นตั้งแต่ระดับจิตใจ ทุกวันนี้ที่เราไม่ตื่นสาย ยังไปทำงานตรงเวลา
ทำตามกฎระเบียบข้อบังคับทางจราจรต่าง ๆ ได้ ถือได้ว่ามีวินัยระดับหนึ่ง
แต่มันก็ถูกต้องบางส่วนครับ
เพื่อให้เห็นภาพก็คือไปดูมดที่มันมักมาหาอาหารตอนที่เราเก็บกวาดอาหารไม่หมดครับ จะเห็นว่าแต่ละตัวมันทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ต้องมีอะไรมาคุมเลย ไม่มีตัวไหนทำตัวเก๋าเกมออกนอกแถวเลย ท้ายสุดมันก็อยู่ข้ามแล้งข้ามปีได้
ตามความเป็นจริงแล้ว คนอยู่สูงกว่าสัตว์ ควรจะวินัยทั้ง 3 ด้าน กล่าวคือ
เพื่อให้เห็นภาพก็คือไปดูมดที่มันมักมาหาอาหารตอนที่เราเก็บกวาดอาหารไม่หมดครับ จะเห็นว่าแต่ละตัวมันทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ต้องมีอะไรมาคุมเลย ไม่มีตัวไหนทำตัวเก๋าเกมออกนอกแถวเลย ท้ายสุดมันก็อยู่ข้ามแล้งข้ามปีได้
ตามความเป็นจริงแล้ว คนอยู่สูงกว่าสัตว์ ควรจะวินัยทั้ง 3 ด้าน กล่าวคือ
1. กายกรรม
ควบคุมตนเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ควบคุมตนเองให้ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
2. วจีกรรม
ควบคุมตนเองให้พูดในสิ่งที่ควรพูด ควบคุมตนเองให้ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด และ
3. มโนกรรม
ควบคุมตนเองให้คิดในสิ่งที่ควรคิด ควบคุมตนเองให้ไม่คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด
แต่เราก็พบว่ามนุษย์โลกทั่วไปไม่ได้เป็นอรหันต์ด้านวินัย ก็เลยต้องมีกลไกทางสังคมมาช่วย เช่น ตัวบทกฎหมาย การลงโทษต่าง ๆ มาควบคุมเพื่อให้ทุกอย่างในสังคมมันไปในแนวทางที่ควรไปนั่นเอง เช่น หลายคนตื่นเช้าไปทำงานเพราะกลัวถูกหักเงินเดือน ไม่ขับรถฝ่าไฟแดงเพราะกลัวโดนจับ จึงไม่ถือได้ว่ามีวินัยอย่างแท้จริง แต่มันเป็นความกลัวเสียตังค์มันบังคับเราอยู่
แล้วคราวนี้มันมาเกี่ยวกับการเป็นหนี้กันมากก็ตรงที่ว่า เดี๋ยวนี้กู้ง่าย กฎระเบียบผ่อนคลายการเยอะ นิสัยการทำอะไรตามใจคือไทยแท้มันก็เลยแผลงฤทธ์กันง่าย ๆ จึงส่งผลให้เราเป็นนักกู้กันง่าย ๆ ครับ ไม่เชื่อลองคิดดูว่าระหว่างทางของชีวิตมันมีอะไรที่เราชอบเป็นพิเศษ เรามักทำลายกฎเพื่อเห็นแก่สิ่งที่เราชอบ ตัวอย่างเช่น เราเป็นคนชอบ iphone ดังนั้น แม้เรารู้ว่าการเก็บออมเป็นสิ่งดีที่ควรทำ iphone ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุด แต่เมื่อรุ่นใหม่ออกมาแถมยังมีโปรผ่อน 0% มาล่อใจอีก ถ้าเรายังไม่มีวินัยตามที่กล่าวมาทั้ง 3 ข้อข้างต้น เราก็จะตามใจตัวเองยอมไปเป็นหนี้อย่างง่ายดาย (ยอมให้พวกสินเชื่อมาจูงจมูกเสมอทุกครั้งไป) แม้จะรู้ว่า มันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรมากนัก
ตัวอย่างชวนคิด
อยากเล่าเรื่องสมัยที่บัตรเอเม็กซ์ (American
Express) มีโปรโมชั่นแบบแหวกแนวให้ฟัง ตอนผมเริ่มทำงาน
มันมีโปรโมชั่นอยู่ว่า ใครก็ตามที่จบจากสาขาวิชาที่คนนิยมจากมหาวิทยาลัยของรัฐจะสามารถทำบัตรของเขาได้ทันที
โดยไม่ต้องแสดงสลิปเงินเดือน ผมก็อยู่ในช่วงนั้น เรียนจบใหม่
เริ่มทำงานไม่กี่เดือน เซลล์เอเม็กซ์ก็ตามตื๊อเหลือเกิน รวมถึงคนรู้จักที่มีญาติตัวเองเป็นเซลล์ที่เอเม็กซ์ก็มาชวน
สมัยนั้นการมีบัตรใบนี้ถือว่าเท่มาก พรรคพวกสมัครกันเป็นแถว ยกเว้นผม ทำไมเหรอครับ
- ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมผมต้องมีบัตรเครดิต
- สารพัดโปรโมชั่นที่เซลล์มานำเสนอมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่มีโอกาสจะได้ใช้
- ถ้าผมรูดบัตรใช้จ่าย อย่างเก่งก็เดือนละ 1000 บาท ได้แต้มมา 40 แต้ม มูลค่าก็ไม่เกิน 4 บาท แต่ทำไมต้องมาเสียค่าบริการ counter service เดือนละ 15 บาท ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 1,000 บาท (ในสมัยนั้น)
- ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมผมต้องมีบัตรเครดิต
- สารพัดโปรโมชั่นที่เซลล์มานำเสนอมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่มีโอกาสจะได้ใช้
- ถ้าผมรูดบัตรใช้จ่าย อย่างเก่งก็เดือนละ 1000 บาท ได้แต้มมา 40 แต้ม มูลค่าก็ไม่เกิน 4 บาท แต่ทำไมต้องมาเสียค่าบริการ counter service เดือนละ 15 บาท ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 1,000 บาท (ในสมัยนั้น)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น